สิ่งที่สร้างขึ้นมานั้น มันตรงตามที่ต้องการหรือคาดหวังหรือไม่? ใช้เวลานานหรือไม่? กว่าจะรู้? ดังนั้นถ้าเราได้ feedback ที่เร็ว จากคนที่ถูกต้อง น่าจะทำให้เรื่องของ Transparency ดีขึ้นอย่างมาก แต่ปัจจุบันเป็นอย่างไร จึงส่งผลให้การพัฒนามีปัญหา ส่งผลให้ทีมพัฒนาขนาดแรงบันดาลใจในการพัฒนา จะทำให้ดีไปทำไม ทำดีก็แค่เสมอตัว ทำแย่ก็โดนด่า ดังนั้นทำแย่ ๆ ไปเลย ทำให้เสร็จ ๆ ไปเลยดีกว่า ยังไงก็โดนด่าอยู่แล้ว หนักกว่านั้นเจอปัญาจากที่ผ่านมาทั้งหมด ยิ่งทำให้หมดกำลังใจในการทำงาน แค่ทำให้มันเสร็จ ๆ ไปก็ยากอยู่แล้ว จะปรับให้ดีขึ้น? อย่าหวัง แม้แต่จะทำการ estimation ไว้เผื่อมาก ๆ แล้ว ก็ยังส่งมอบไม่ได้ตามเวลาเลย ยังไม่พอเวลาโดยรวมก็เพิ่มเรื่อย ๆ ทั้ง การออกแบบที่นานขึ้น การพัฒนาที่มากขึ้น จำนวนคนมากขึ้น การทดสอบยากขึ้นเรื่อย จนถึงทดสอบไม่ครบ การดูแลรักษายาก ทางทีม operation ยิ่งลำบากเข้าไปอีก จำนวน bug ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ การโบ้ยความผิดมักโยนไปให้คนอื่น ที่ไม่ใช่ตนเองมากขึ้น ที่สำคัญมักจะหาคนผิดมารับผิดชอบ มากกว่าแก้ไขปัญหาและปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังนั้นเรากลับมาดูสิว่า ระบบงานของเราเป็นอย่างไร? มีอะไรที่ส่งผลต่อการส่งมอบในเชิงลบหรือไม่ ทำการวัดผลและเก็บข้อมูล รวมทั้งถึงสภาพจิตใจของทีมด้วยว่าเป็นอย่างไร ต้องสร้างสมดุลระหว่าง output กับ outcome จากนั้นต้องรีบแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ที่ส่งผลในเชิงลบให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวัดผลการปรับปรุง อาจจะมองในมุมต่าง ๆ ดังนี้ การส่งมอบระบบงานที่สม่ำเสมอ ทั้งเพิ่ม feature, แก้ไข bug, regression test จำนวนของการทำงานแบบอัตโนมัติที่เพิ่มมากขึ้น นั่นคือลดงานที่ทำซ้ำ ๆ ลงไป ทั้งการ build, test, deploy ลดความซับซ้อนของ code, module, architecture ของระบบงานลง ลดจำนวน bug/defect/issue ลงไป ลองปรับปรุงกันดูครับ Reference Websites
Technical Debt หนี้ทางเทคนิคที่ตามหลอกหลอนคุณในอนาคต - GreedisGoods
"Debt Ratio" คืออะไร?
2.
risk
risk ในรูปแบบของ discount
rate มีสูตร 3 บรรทัด
ถ้าหามูลค่าของทั้งบริษัท ใช้ทั้ง 3 บรรทัด ถ้าหามูลค่าของ
equity โดยตรงเลยก็ใช้แค่บรรทัดแรก
cost of equity = risk-free rate +
beta x equity risk premium
ต้นทุนของเงินทุน คิดจาก
1. 1.
risk-free rate ต้นทุนของเงินที่ไม่มีความเสี่ยงเลย
ส่วนมากใช้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลแบบยาวๆซักประมาณ 10
ปีขึ้น (แล้วแต่ time frame ในการลงทุนด้วย)
1. 2.
equity risk premium ความเสี่ยงของการเอาเงินมาลงทุนในหุ้น
จะคิดเพิ่มอีกเท่าไหร่ ก็เป็นส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นกับ risk-free
1. 3.
beta ความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวว่าผันผวนมากน้อยกว่าตลาดกี่เท่าก็คูณกับ
equity risk premium เข้าไป
เช่น ถ้า risk-free rate ที่ 3. 72%
equity risk premium ที่ 4% กับหุ้นที่มีค่า beta
= 1. 29 เท่า cost of equity ก็จะเท่ากับ 3. 72%
+ 1. 29 x 4% = 9. 16%
cost of debt = (risk-free rate +
default spread) x (1 – marginal tax rate)
2. 1.
risk-free rate เหมือนอันข้างบน
2. 2.
default spread ความเสี่ยงของการเอาเงินมาให้กู้
จะคิดดอกเบี้ยเพิ่มอีกเท่าไหร่ ก็ประมาณการเอา เทียบเคียงกับหลักทรัพย์ที่มี interest
coverage ratio ใกล้เคียงกันก็ได้ หรือหุ้นกู้ที่ rating เท่ากันก็ได้
interest coverage ratio = operating income /
interest expense
2.
Calculator
- Cost of debt คือ definition
- Cost of debt คือ index
- 4C คืออะไร? กลยุทธ์ ส่วนประสมการตลาด 4Cs - GreedisGoods
สาระสารพัน: The Little Book of Valuation - Aswath Damodaran (ตอนที่ 2/6)
Technical Debt หนี้ทางเทคนิคที่ตามหลอกหลอนคุณในอนาคต - GreedisGoods
GreedisGoods มีการเก็บ Cookies เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น หากท่านใช้เว็บไซต์ต่อไปโดยไม่ปรับตั้งค่าเราเข้าใจว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้ ยินยอม ดูรายละเอียด
4.
intrinsic value
ทำได้ 2 แบบคือ (1) หามูลค่าของทั้งบริษัท แล้วหักล้างหนี้และเงินสด หรือ (2) หามูลค่าของ equity โดยตรงเลย
ซึ่งตามทฤษฎีแล้วผลลัพธ์ที่ได้ควรจะเท่ากัน
มี input 4 ตัวคือ
1.
cash flow
2.
risk ในรูปของ discount
rate
3.
growth rate
terminal value
4. 1.
Technical Debt ค่าใช้จ่ายที่เรามักทำมอง[ไม่]เห็น
ยิ่งทำระบบยิ่งแย่ ระบบล่มบ่อยทุกครั้งที่ deliver ความพึงพอใจของลูกค้าลดลงเรื่อย ๆ ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของระบบลงลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นยิ่งส่งผลต่อลูกค้าที่ทางลบมากเท่าไร คุณค่าของสิ่งที่ทำยิ่งน้อยลง หนึ่งในตัวอย่างคือ feature ที่ไม่ถูกใช้งานเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องใช้เวลาในการคิด พัฒนา ทดสอบ deploy ทำเอกสาร กลับไม่มีคนใช้งาน แต่ทีมพัฒนาต้อง maintain feature เหล่านี้ ยิ่งพัฒนา ยิ่งเพิ่ม feature การพัฒนา ส่งมอบยิ่งช้าลง เพียงการพัฒนาก็ยากอยู่แล้ว แต่ต้องมาแก้ไขหรือปรับปรุงระบบเดิมให้ทำงานได้ ให้ทำงานถูกต้อง และปรับปรุงให้ดีขึ้น คำถามคือ เวลามีจำกัด คุณจะเลือกทำอะไร? แก้ไขที่เดียว แต่กระทบต่อการทำงานส่วนอื่น ๆ อีกมากมาย แบบนี้เกิดบ่อยไหม? เสียเวลาไป debug อีก Debug แล้วก็หาไม่เจอ แก้ไขยิ่งลำบาก ยิ่งหนี้เยอะ ยิ่งก่อให้เกิดปัญหาหรือไม่นะ? ขาดเรื่องของ Transparency แต่ละคนรู้รายละเอียดในบางเรื่อง แถมไม่ share ความรู้เหล่านั้นให้คนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเหตุผลใด ๆ ก็ตาม ทำให้เกิดปัญหาในการ estimation เวลาของการทำงาน ทั้งมากไปหรือน้อยไป บางครั้งสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า งานงอก จะเยอะมาก ๆ หรือเรื่องที่ถูกซ่อนเอาไว้มากมาย และกว่าจะรู้ว่าขาดอะไรไปต้องใช้เวลานาน หรือต้องเกิดปัญหาขึ้นมาก่อน ถึงจะรู้!!
- เรือเกาหลีล่ม
- Re monster แปลไทย
- พระ ปิด ตา สาย ใต้ เนื้อ ทองเหลือง
- สี toa supershield duraclean a ราคา
- Sweet resort บางนา
- Code 8 full movie download
- เนื้อเพลง payphone แปล pdf
- Iphone 13 pro max dtac ราคา
- ที่ ใส่ นามบัตร bottega a rosano