41% ต่อเดือนหรือ 40. 88% ต่อปี กรณีที่ N ominal Interest Rate คือ 2% ต่อเดือนหรือ 24% ต่อปี และ Effective Interest Rate คือ 3. 88% ต่อปี เห็นได้ว่า Effective Interest Rate จะสูงกว่า Nominal Interest Rate ถึง 16. 88% ต่อปี ซึ่งความแตกต่างนี้จะสูงขึ้นอีกหากระยะเวลาในการกู้ยืมยาวนานขึ้นหรือมีจำนวนงวดที่ต้องผ่อนชำระมากขึ้น ดังนั้น ในการกู้เงินผู้กู้จึงควรพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
ตัวอย่างอัตราดอกเบี้ย - ความหมาย ลักษณะ และอื่นๆ
- เตียง สี ดำ
- Mother say no เขาใหญ่
- ประวัติ ท่าเตียน ย่านเก่ากรุงเทพ กับตำนานเมืองยักษ์วัดแจ้ง ยักษ์วัดโพธิ์
- สั่ง kiehl's ออนไลน์ 2564
- จอง เข็ม ไปรษณีย์ ราคา
- โซฟา 1 ที่นั่ง ปรับ นอน
- ราคา suzuki ciaz 150
ดอกเบี้ยส่วนแรก คือ ดอกเบี้ยที่ใช้จ่าย
โดยคิดจากวงเงินที่รูดคือ 18, 000 บาท นับจำนวนวันในงวด ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 18% ผลที่ออกมา คือ
จากสูตร: ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย = เงินต้นคงเหลือ X อัตราดอกเบี้ยต่อปี X จำนวนวันในงวด / จำนวนวัน 1 ปี? ดอกเบี้ยที่ใช้จ่าย = 18, 000 บาท X ดอกเบี้ย 18% X 15วัน / 365 วัน = 133. 15 บาท
2. ดอกเบี้ยส่วนที่สอง คือ ดอกเบี้ยที่ค้างชำระ
ดอกเบี้ยค้างชำระ คิดจากเงินต้นคงเหลือที่จ่ายขั้นต่ำไป คือ 16, 200 บาท โดยคิดจากวันที่เราชำระไปคือ 9 พฤษภาคม ถึงวันปิดยอดในรอบล่าสุดคือ 25 พฤษภาคม รวม 17 วัน โดยระหว่างวันดังกล่าวไม่มีการใช้จ่ายเพิ่ม และคิดกับดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 20% ออกมาเป็นสูตรดังนี้
สูตร: ดอกเบี้ยค้างชำระ = เงินต้นคงเหลือที่จ่ายขั้นต่ำไป X ดอกเบี้ย 18% x (จำนวนวันที่ชำระ-วันปิดยอดในรอบล่าสุด)/ 365 วัน.? ดอกเบี้ยที่ค้างชำระ = 16, 200 บาท X ดอกเบี้ย 18% X 17 วัน / 365 วัน = 135. 81 บาท
สรุป
จากตัวอย่างที่ aomMONEY ยกมา จะเห็นได้ว่า จำนวนดอกเบี้ยที่เราต้องจ่าย มี 2 ส่วน คือ
1. ดอกเบี้ยที่ใช้จ่าย 133. ดอกเบี้ยที่ค้างชำระ 135. 81 บาท
บวกกับเงินต้นที่ค้างอยู่ 16, 200 บาท?
หลายท่านกู้ซื้อบ้าน หรือรถยนต์ และพบว่ายิ่งผ่อนนานยิ่งรู้สึกว่าดอกเบี้ยบานปลายมาก และเงินต้นแทบจะไม่ลดเลย เกิดอะไรขึ้น? ทั้งๆที่ก็ผ่อนเท่าเดิมทุกเดือน แต่ของเพื่อนผ่อนหลุดไปแล้ว ทำไมของเราดูเหมือนว่า ยังอีกนานถึงจะหมด? ทำไมเงินต้นเราแทบไม่ลด? หรือการคิดดอกเบี้ยของเรากับเพื่อนไม่เหมือนกัน? การขอสินเชื่อ โดยทั่วไปแล้วมีวิธีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบสองวิธีหลักๆด้วยกัน นั่นคือ การคิดดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ และการคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก เชื่อว่าหลายท่านน่าจะเคยได้ยินมาพอสมควร แต่สองวิธีนี้แตกต่างกันอย่างไร? แบบไหนที่ให้ประโยชน์กับผู้ขอสินเชื่อมากกว่ากัน? บทความนี้ มีคำตอบค่ะ
อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกคืออะไร
ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก หรือ Effective Rate คือวิธีคำนวณอัตราดอกเบี้ยแบบหนึ่งของการขอสินเชื่อ ซึ่งโดยมากแล้วจะพบในสินเชื่อประเภทซื้อบ้าน เพื่อพิจารณาสินเชื่อประเภทนี้แบบเข้าใจง่าย เราจะลองแยกชื่อสินเชื่อนี้เป็นสองคำ คือ "ลดต้น" และ "ลดดอก" คำแรก "ลดต้น" คืออะไร? ลดต้นในที่นี้หมายถึง เงินต้นที่ขอสินเชื่อ ซึ่งจำนวนนี้จะถูกนำมาคิดอัตราดอกเบี้ยในแต่ละงวด โดยที่เมื่อเราจ่ายเงินในแต่ละงวดแล้ว เงินจำนวนนี้ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ตามจำนวนเงินที่เราจ่ายไป คำต่อมาคือคำว่า "ลดดอก" ซึ่งหมายถึง ดอกเบี้ยที่เราจะต้องจ่ายในแต่ละงวด แต่ดอกเบี้ยนี้จะลดลงเรื่อยๆตามจำนวนเงินต้น ซึ่งหมายความว่า ยิ่งเงินต้นลดเยอะเท่าไหร่ ดอกเบี้ยก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น แล้วเมื่อเงินต้นและดอกเบี้ยลดลง ทำไมยังต้องจ่ายค่างวดเท่าเดิมอยู่ล่ะ?
สนใจที่จะฝากเงินแบบขั้นบันไดนี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้รับผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินแบบประจำหรือไม่ นาย ก. จึงทดลองคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากแบบขั้นบันไดที่จะได้รับสำหรับเงินต้น 10, 000 บาท ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากแบบขั้นบันไดที่นาย ก. ได้รับจากการฝากเงินในช่วง 11 เดือน (334 วัน) เท่ากับ 24. 66 + 49. 86 + 75. 62 + 66. 85 = 216. 99 บาท ซึ่งเมื่อเทียบบัญญัติไตรยางค์แล้วหมายความว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีของเงินฝากนี้เท่ากับ 2. 37% หรือ (216. 99x365)/(334x100) หรืออีกวิธีหนึ่งคือ จะเห็นได้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี คือร้อยละ 2. 37 ซึ่งต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีที่ร้อยละ 3 ที่ธนาคารได้ประชาสัมพันธ์ไว้ 1. อัตราดอกเบี้ยขั้นที่สูงที่สุดที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศไว้มักต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีที่ได้รับ ผู้ฝากเงินจึงควรสอบถามอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีจากธนาคารก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการเงินฝากแบบขั้นบันได 2. แบงก์ชาติกำหนดให้ ธนาคารพาณิชย์ต้องแสดงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีให้แก่ผู้ฝากเงินแบบขั้นบันไดทราบ เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์เงินฝาก อันเป็นการปกป้องสิทธิของผู้ใช้บริการทางการเงิน
เรื่องที่น่าสนใจ
ผู้จัดการบริการ
อัตราดอกเบี้ยที่ผู้กู้เงินต้องจ่ายจริง คำนวณอย่างไร ? - MoneyGuru.co.th
จากการที่อัตราดอกเบี้ยประเภทต่างๆ นั้นคำนวณเป็นอัตราร้อยละต่อปี รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยในทางเศรษฐศาสตร์จะสะท้อนมูลค่าของเวลา (Time Value) และสะท้อนมูลค่าของเงินซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราเงินเฟ้อ (เงินเฟ้อคือสภาวะที่เงินมีมูลค่าถูกเมื่อเทียบกับสินค้าและบริการ) เข้าไปด้วย ทำให้การคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ จะสามารถทำได้หลายวิธีเพื่อสะท้อนปัจจัยเหล่านั้น โดยมีตัวอย่างการคำนวณอัตราดอกเบี้ยแบบต่างๆ ที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน ดังนี้
1. อัตราดอกเบี้ยทบต้น ( Compound Interest Rate) สมมติว่า เรานำเงิน 10, 000 บาท ไปฝากธนาคาร และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร เท่ากับ 5% ต่อปีทุกๆ ปี เมื่อครบ 1 ปี เงินของเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 10, 500 บาท (เงินต้น 10, 000 บาท บวกดอกเบี้ย 500 บาท) เงิน 10, 500 บาทนี้ จะกลายเป็นเงินต้นของปีที่ 2 และเมื่อครบ 2 ปี เงินของเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 11, 025 บาท (เงินต้น 10, 500 บาท บวกดอกเบี้ย 525 บาท) และในปีถัดๆ ไปดอกเบี้ยของปีนั้นจะถูกทบเข้ากับเงินต้น และกลายเป็นเงินต้นของปีถัดไป เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
2.
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง คืออะไร? (Real Interest Rate) - GreedisGoods
GreedisGoods มีการเก็บ Cookies เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น หากท่านใช้เว็บไซต์ต่อไปโดยไม่ปรับตั้งค่าเราเข้าใจว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้ ยินยอม ดูรายละเอียด
ก. aomMONEY
ติดตามความรู้เรื่องการเงินการลงทุนจาก aomMONEY.? Website:? Youtube:? กลุ่มกองทุนไหนดี:..
41% ต่อเดือนหรือ 40. 88% ต่อปี
ในกรณีนี้ N ominal Interest Rate คือ 2% ต่อเดือนหรือ 24% ต่อปี และ Effective Interest Rate คือ 3. 88% ต่อปี เห็นได้ว่า Effective Interest Rate จะสูงกว่า Nominal Interest Rate ถึง 16. 88% ต่อปี ซึ่งความแตกต่างนี้จะสูงขึ้นอีกหากระยะเวลาในการกู้ยืมยาวนานขึ้นหรือมีจำนวนงวดที่ต้องผ่อนชำระมากขึ้น ดังนั้น ในการกู้เงินผู้กู้จึงควรพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
4. อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up Interest Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารจะจ่ายให้ผู้ฝากเงินเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา ตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยทั่วไปจะกำหนดจำนวนเงินฝากขั้นต่ำและไม่อนุญาตให้เบิกถอนก่อนกำหนด รวมทั้งการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบนี้จะเป็นการคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น หมายถึง จะไม่นำดอกเบี้ยที่ได้รับในช่วงแรกมารวมเป็นเงินต้นงวดถัดไปนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 1 มกราคม ฝากเงิน 100, 000 บาท ได้รับอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได 12 เดือน โดยธนาคารจ่ายดอกเบี้ยสำหรับเดือนที่ 1 - 4 ในอัตรา 2% เดือนที่ 5 - 8 ในอัตรา 2. 5% เดือนที่ 9 - 11 ในอัตรา 3% และเดือนสุดท้ายในอัตรา 3. 5% โดยมีเงื่อนไขว่า หากถอนเงินก่อนกำหนดจะได้รับดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ออมทรัพย์ ในกรณีนี้ ดอกเบี้ยที่ได้รับจะคำนวณดังนี้
ดอกเบี้ยรับเดือนที่ 1 – 4 (100, 000 x 2% x 120 วัน) 365 = 657.
53 บาท
ดอกเบี้ยรับเดือนที่ 5 – 8 (100, 000 x 2. 5% x 123 วัน) 365 = 842. 47 บาท
ดอกเบี้ยรับเดือนที่ 9 – 11 (100, 000 x 3% x 91 วัน) 365 = 747. 95 บาท
ดอกเบี้ยรับเดือนที่ 12 (100, 000 x 3. 5% x 31 วัน) 365 = 297. 26 บาท
ดังนั้นจะได้รับดอกเบี้ยทั้งสื้น 2, 545. 21 บาท (657. 53 + 842. 47 + 747. 95 + 297. 26) หรือได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารจ่ายจริง (Effective Interest Rate) คือ 2. 54% นั่นเอง
ที่มา: หนังสือ 365+1 คำศัพท์การเงินและการลงทุน